Featured News
Posts List
Posts Slider
Health
-
รู้ไหมว่าผักผลไม้ ที่ควรกินตอนเช้า แคลอรี่ต่ำ ไฟเบอร์สูง
รู้ไหมว่า อาหารบางชนิด หากหยิบมากินให้ถูกเวลา ก็จะยิ่งเพิ่มประโยชน์มากขึ้นไปอีก! ซึ่งวันนี้เราก็มีลิสต์ ผักผลไม้ ที่ควรกินตอนเช้า มาแนะนำกันค่ะ การกินมื้อเช้านั้นไม่เพียงช่วยให้เรามีพลังงานพร้อมเริ่มต้นวันใหม่ แต่ยังมีประโยชน์ในการช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย เพราะทำให้เราลดการกินอาหารมื้ออื่นๆ ได้น้อยลงตามไป ซึ่งผักผลไม้หลายๆ ชนิดก็เหมาะที่หยิบมาทำเป็นมื้อเช้า เหมาะที่จะหยิบมากินในตอนเช้าสุดๆ เพราะนอกจากแคลอรี่ต่ำ ไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังมีไฟเบอร์สูง ช่วยให้อิ่มท้องยาวนานอีกด้วย ซึ่งจะมีผักและผลไม้ชนิดไหนบ้างที่ควรกินตอนเช้า มาดูกันเลย!
- กะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำสุดๆ ค่ะ ซึ่งกะหล่ำปลี 100 กรัม มีไฟเบอร์มากถึง 2.5 กรัม แต่ให้พลังงานเพียง 25 กิโลแคลอรี่เท่านั้น ซึ่งกะหล่ำปลีหากหยิบมากินเป็นอาหารเช้าก็สามารถนำมาทำเมนูได้หลากหลายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะต้ม นึ่ง หรือนำไปผัด ถือเป็นผักที่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนักมากๆ เลยค่ะ
- บรอกโคลี
บรอกโคลี เป็นผักใบเขียวที่นอกจากจะมีไฟเบอร์สูงมากๆ แล้ว ยังมีแคลอรี่ต่ำอีกด้วย โดยบรอกโคลี 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 31 แคลอรี่ ซึ่งนอกจากเป็นผักที่ช่วยให้อิ่มท้อง อิ่มนานแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตรอลได้อีกด้วย ที่สำคัญบรอกโคลียังสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายแบบ จะต้ม นึ่ง หรือผัด ก็ดี!
- ดอกกะหล่ำ
เรียกว่าเป็นผักสำหรับคนลดน้ำหนักเลยล่ะค่ะ สำหรับดอกกะหล่ำ โดยเฉพาะคนที่กำลังลดน้ำหนักแบบคีโต ซึ่งดอกกะหล่ำ 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 25 แคลอรี่เท่านั้น ซึ่งดอกกะหล่ำนั้นสามารถนำมาใช้แทนข้าวได้ดี เพราะไม่เพียงแคลอรี่ต่ำ แต่คาร์โบไฮเดรตยังต่ำอีกด้วย โดยสามารถนำมาปั่น นำไปผัดใช้แทนข้าว หรือทำเป็นโจ๊กก็ได้ อัดแน่นด้วยไฟเบอร์แต่แคลอรี่ไม่สูง!
ผลไม้ ที่ควรกินตอนเช้า
- กล้วย
เป็นผลไม้ที่แนะนำให้กินตอนเช้ามากที่สุดเลยล่ะค่ะสำหรับกล้วย เพราะกล้วยไม่เพียงอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ทั้งธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และวิตามินซีเท่านั้น แต่กล้วยยังเป็นผลไม้ที่ไฟเบอร์สูงอีกด้วย ซึ่งไฟเบอร์นั้นจะช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มท้องได้ยาวนานยิ่งขึ้น กินก่อนออกกำลัง หรือกินก่อนมื้ออาหารในตอนเช้า จะช่วยให้เรากินข้าวต่อมื้อลดลง และลดความอยากอาหารไปได้เยอะ ดีต่อการลดน้ำหนักสุดๆ
- แอปเปิล
อย่างที่รู้กันค่ะว่าแอปเปิลเหมาะสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักสุดๆ ยิ่งถ้าหยิบมากินตอนเช้าก็ยิ่งดี! เพราะแอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง กินแล้วอยู่ท้อง ช่วยลดความอยากอาหาร แถมไฟเบอร์ในแอปเปิลยังเป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ซึ่งช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานอีกด้วย และแม้แอปเปิลจะเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลแต่ร่างกายก็สามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 10 นาทีค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะอ้วน!
- บลูเบอร์รี่
บลูเบอร์รี่ถือเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำมากๆ ค่ะ ทั้งยังมีไฟเบอร์ที่ช่วยให้เราอิ่มเร็วและอิ่มนานขึ้น และบลูเบอร์รี่ยังช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารและทำให้การขับถ่ายของร่างกายทำงานได้เป็นระบบมากขึ้น จึงช่วยป้องกันโรคท้องผูก ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง ซึ่งจะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดีขึ้นด้วย
- กีวี
กล้วยว่ามีไฟเบอร์สูงมากๆ แล้ว รู้ไหมคะว่ากีวีมีไฟเบอร์สูงกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิลและส้มถึง 25% เลยล่ะ! ซึ่งการกินผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงอย่างกีวีในตอนเช้าก็จะช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยให้อิ่มนาน ทำให้เราไม่รู้สึกหิว ลดการกินจุกจิกที่เป็นสาเหตุของความอ้วนได้ดี และกีวีไม่ได้เหมาะแค่การกินตอนเช้าเท่านั้นนะคะ แต่ตอนเย็นก็กินได้ เพราะกีวีเป็นผลไม้ที่ช่วยให้หลับง่ายและหลับสบายมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับยากด้วย!
- สตรอเบอร์รี่
สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อีกหนึ่งชนิดที่เหมาะจะกินตอนเช้าสุดๆ ค่ะ เพราะเป็นผลไม่ที่แคลอรี่ต่ำ แต่กลับมีวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระสูงมากๆ ซึ่งการกินสตรอเบอร์รี่ในตอนเช้านอกจากจะช่วยเพิ่มความสดชื่นได้ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มปริมาณไขมันชนิดดี (HDL) เพิ่มวิตามินซีให้กับร่างกาย ซึ่งการกินสตรอเบอร์รี่เพียง 1 ถ้วย ก็ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายต่อวันเลยทีเดียว
ข้อมูลจาก https://women.trueid.net/detail/kpq39OkoD8wB
ติดตามอ่านต่อได้ที่ delphiabc.com
Economy
-
กรุงไทย ชี้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รับกระแส BCG economy
กรุงไทย ชี้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รับกระแส BCG economy สร้างโอกาสแก่ชุมชน
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ มีทิศทางขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากภายหลังการประชุม COP 26 ทำให้ทั่วโลกตื่นตัวแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และวิกฤตพลังงานในปัจจุบันที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ ทำให้หลายประเทศรวมถึงไทยมีความกังวลด้านความมั่นคง และราคาพลังงาน
โดยเร่งทบทวนแผนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อทดแทนไฟฟ้าที่ผลิตจากฟอสซิล อาทิ ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งในปี 2021 ทั่วโลกมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะที่ 1.4 แสนเมกะวัตต์ โดยในจำนวนนี้มาจากเอเชียมากที่สุดราว 39% ของกำลังการผลิตของโลก และในช่วงปี 2021-2025 กำลังการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโต 5.7%ต่อปี
“วิกฤตพลังงานโลกที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ จะกดดันให้ราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการผลิตไฟฟ้าโดยรวมในไทยยืนอยู่ในระดับสูงนาน ดังนั้น การหันไปผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาต้นทุนรวมของการผลิตไฟฟ้าในไทยได้ ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในไทยมีต้นทุนสูงถึง 3.3 บาท/หน่วย ขณะที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ อยู่ที่เพียง 0.7-2.3 บาท/หน่วย เท่านั้น”
นางสาวนิรัติศัย ทุมวงษา นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS
กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ธุรกิจประเภทนี้มีแนวโน้มเติบโตดีจากการสนับสนุนของภาครัฐมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งสะท้อนจากแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ ขยายตัวที่ 6% ในช่วงปี 2021-2037 โดยในปี 2037 ซึ่งเป็นปีที่สิ้นสุดแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ภาครัฐตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ 7,077 เมกะวัตต์ เนื่องจากไทยมีศักยภาพด้านวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรซึ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบหลักของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ
อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้ามองว่า ภาครัฐจะให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก หรือ VSPP มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งริเริ่มโครงการเฟสแรกเมื่อปี 2019 เพื่อให้ตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างเต็มที่และสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ทั่วทุกพื้นที่ในไทยในระยะข้างหน้า เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังมีครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้อยู่ถึง 57,440 ครัวเรือน อีกทั้งโครงการดังกล่าวช่วยสร้างรายได้แก่ชุมชนด้วย เนื่องจากจะต้องใช้วัตถุดิบหรือวัสดุเหลือใช้จากในชุมชนเป็นหลักในการผลิตไฟฟ้า
นายพงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า จำนวนโรงไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะขนาด VSPP ในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2021-2026) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกราว 430 แห่ง ในจำนวนนี้แบ่งเป็น ชีวมวลจำนวน 54 แห่ง ชีวภาพ 236 แห่ง และขยะ 140 แห่ง ตามลำดับ เมื่อพิจารณาศักยภาพและปริมาณวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและขยะที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าหมุนเวียนแต่ละประเภทร่วมด้วย พบว่าโรงไฟฟ้าชีวมวลโดยรวมมีทรัพยากรวัตถุดิบที่มากเพียงพอสำหรับผลิตไฟฟ้าตามเป้าหมายของแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ขณะที่ โรงไฟฟ้าชีวภาพและโรงไฟฟ้าขยะ ปัจจุบันมีเชื้อเพลิงที่มีศักยภาพไม่เพียงพอถึงปี 2037 ดังนั้น ผู้ที่สนใจจะสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวจึงควรเตรียมความพร้อมด้านเชื้อเพลิงจากทั้งสองกลุ่มนี้
“การลงทุนตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับมลภาวะทางอากาศจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า เนื่องจากโรงไฟฟ้าในกลุ่มนี้มีการปล่อยฝุ่นละออง ขี้เถ้า เขม่า และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าในไทยได้แก้ปัญหาดังกล่าวโดยการนำเอาเทคโนโลยีการดักจับฝุ่นละอองมาใช้ เพื่อควบคุมปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 และเขม่า ให้เป็นตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว”
ส่วนในระยะข้างหน้าคาดว่า กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยจะให้ความสำคัญกับการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีปัจจุบันที่ใช้ในโรงไฟฟ้าในไทยไม่สามารถดักจับได้ ดังนั้น อาจจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ อย่าง carbon capture ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าลงทุนสูงมาก จึงต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
ขอบคุณแหล่งที่มา : businesstoday.co
สามารถอัพเดตข่าวสารเรื่องราวต่างๆได้ที่ : delphiabc.com
Latest News
กรุงไทย ชี้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รับกระแส BCG economy
กรุงไทย ชี้โรงไฟฟ้าพลังงา...
Mick Schumacher อาจเสียที่นั่ง F1 หลังจากฤดูกาล 2022
Mick Schumacher อาจเสียที...
เพิ่งตาสว่าง!สื่อผู้ดีตีข่าวบอร์ดแมนยูรู้สึกคิดผิดจับไบยี่ขยายสัญญา
สื่อผู้ดีตีข่าวบอร์ดบริหา...
UFABETคาสิโนออนไลน์ เว็บพนันบอลที่ดีที่สุด ค่าน้ำ 4 ตังค์
เว็บแทงบอลดีที่สุด มั่นคง...